เช้าที่ไม่มีฝนพรำมา วันนี้ฉันออกจากบ้านด้วยความร้อนอบอ้าวของอากาศประเทศไทยเพื่อไปเจอผู้ชายคนหนึ่ง หลายๆคนคงคุ้นเคยเขาดีผ่านเสียงทุ้มที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นที่จดจำนั้นก็คือ เรื่องราว และเนื้อหาในบทเพลงของเขา ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าสนใจ
วันนี้เราได้มีโอกาสมานั่งคุยกับ เล็ก–อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร หรือ เล็ก Greasy Cafe ที่ทุกคนรู้จักนั่นเอง
บางคนอาจจะพอทราบมาอยู่แล้วบ้างว่า นอกจากพี่เล็ก จะเป็นนักเล่าเรื่องผ่านบทเพลงแล้ว ก่อนหน้าที่จะมาเป็นนักดนตรีนั้น พี่เล็กเคยเป็นช่างภาพมาก่อนด้วย วันนี้เราเลยได้มีโอกาสมาคุยกับพี่เล็กเรื่องภาพถ่ายกัน แต่ก่อนหน้าที่จะเริ่ม ฉันขออนุญาตดูหนังสือสองเล่มหนา ที่พี่เล็กหยิบติดมือมาด้วย

เล่มแรกเป็นหนังสือปกสีดําเล่มใหญ่ บนหน้าปกมีตั๋วการเดินทาง ปลายทางสู่ประเทศศรีลังกา ที่พี่เล็กใช้เวลาอยู่ที่นั่น 10 วัน ภายในเป็นภาพสีขาวดำถูกเรียงร้อยเข้าด้วยกัน ขั้นหน้าด้วยกระดาษไข ด้านใต้ภาพถูกเขียนด้วยดินสอเป็นคำสั้นๆเหมือนเป็นเรื่องราวระหว่างเดินทาง ภายในภาพมีทั้งภาพทิวทัศน์ ภาพที่ถ่ายตามท้องถนน ภาพเรื่องราวและแววตาที่อยู่ในผู้คน ดูเหมือนความเป็นขาวดำจะยิ่งดึงอารมณ์ออกมาได้เป็นอย่างดี พี่เล็กเล่าให้ฟังว่าตั้งใจเลือกกระดาษอัดรูปที่เป็นแบบด้าน ทำให้ได้ความรู้สึกและสัมผัสออกมาเป็นอย่างที่ต้องการ


ส่วนอีกเล่มหนึ่ง เล่มเล็กลงมาหน่อย แต่ความหนานั้นไม่ได้ลดตามไปด้วย เล่มนี้เป็นรูปถ่ายในกอง The Swiss Family Robinson ซีรี่ย์จากประเทศอังกฤษ ที่ได้มาถ่ายกับทะเลจังหวัดกระบี่ พี่เล็กก็ได้มีโอกาสไปถ่ายด้วย ภายในเล่ม ภาพแต่ละภาพถูกตัดและแปะด้วยมืออย่างตั้งใจ แต่ละหน้ามีการเว้นที่ว่าง และการใช้ภาพเล็กและภาพใหญ่สลับกันไป เพื่อให้ขนาดเข้ากับรูปภาพที่ต้องการจะสื่อ เหมือนกับหนังสือ photo book แต่ทำด้วยมือทั้งเล่ม ฉันเพลิดเพลินไปกับการดูภาพเรือสำเภาบนน้ำทะเลสีคราม และภาพการออกสีหน้าท่าทางของนักแสดงชาวต่างชาติ จนเกือบลืมไปว่าทั้งหมดในเล่มนี้ถ่ายในประเทศไทย


ฉันเปิดดูแต่ละหน้าด้วยความตั้งใจ พร้อมกับพี่เล็กอธิบายรูปให้ฉันฟังเป็นระยะ รูปนี้เป็นรูปใคร ภาพนี้ถ่ายตอนไหน อะไรกำลังเกิดขึ้นบ้างภายในรูป
แม้เหตุการณ์จะผ่านไปนานแล้ว แต่พี่เล็กสามารถอธิบายรูปภาพให้ฉันฟังได้อย่างแจ่มชัด จนชวนให้ฉันเชื่อว่าเหตุการณ์พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้ ทั้งๆรูปภาพที่อยู่ในสองเล่มนี้ จะเป็นเหตุการณ์ที่ย้อนกลับไปเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว!
เราเริ่มต้นบทสนทนากับพี่เล็กด้วยการย้อนกลับไปถามคำถามที่ว่า
พี่เล็กชอบถ่ายรูปตั้งแต่ตอนไหน และอะไรคือเสน่ห์ของการถ่ายรูป ?
คือเราว่าการถ่ายรูปมันเริ่มจากการที่เราไม่รู้ว่าเราชอบมันมาก่อน สมัยที่เราเรียนจบเราก็มาทำโปรดักชั่นเบื้องหลัง เราเป็นคนหาพรอพตอนนั้น และทํางานกับพี่เอกเอี่ยมชื่น ที่เขาเป็นโปรดักชั่นดีไซน์เนอร์คู่บุญของพี่อุ๋ยเนี่ยครับ สมัยนั้น เวลาเราเจอของเจออะไรก็ถ่ายเพื่อมาให้เขาดู–ให้เขาเลือก ( ซึ่งถ่ายด้วยกล้องฟลิม์ ) มันไม่เหมือนสมัยนี้ที่ถ่ายมือถือแล้วก็ส่งมาได้เลย คือเราต้องเอากล้องไปด้วย พี่เอกเขาให้เรายืมกล้องตัวนึง เราก็เลยต้องถ่าย ส่งล้าง แล้วเอามาให้พี่เอกเลือกดู ซึ่งในสมัยนั้นเราไม่รู้ เราแค่บันทึกว่าเช่นหนังสือเล่มนี้ พี่เอกชอบไหม แค่นั้นจริงๆ
แล้วหลังจากนั้นก็มีโอกาสได้ไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ ก็กะว่าไปเรียนแค่ภาษา พอเรียนภาษาจบความรู้สึกเราในตอนนั้นมันแบบ มาถึงนี่แล้ว ไม่ต้องรีบกลับก็ได้มั้ง ลองเรียนอย่างอื่นดูไหม
ปรากฏตอนแรกคิดว่าหรือว่าจะเรียนศิลปะ แต่ว่าศิลปะเราก็เคยเรียนที่ไทยวิจิตรมาแล้วบ้าง ก็เลยคิดว่า หรือว่าจะลองเรียนถ่ายรูป คุยกับอาจารย์ที่เขาสอนภาษาเขาก็บอกว่าน่าลอง เราก็ไปหาข้อมูล ดูหนังสือ ก็เลยรู้สึกว่า งั้นก็เรียนถ่ายรูปแล้วกัน แล้วตรงนั้นมันก็คือจุดเริ่มต้นครับ
งานแรกหลังจากกลับมาจากอังกฤษเป็นงานประมาณไหน ทำอะไรบ้าง ?
แฟชั่นครับ
คือถ่ายแฟชั่นเลย ?
ใช่ คือสมัยนั้นเราได้ยินคนพูด แล้วมันเป็นความคิดที่ผิดมากว่า ถ้าเกิดอยากเท่ต้องถ่ายแฟชั่น แล้วเราก็คิดอย่างนั้น มีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัว แต่ตอนหลังมาเจอเรื่องๆนึงแล้วมันเปลี่ยนทุกอย่างเราไปเลย
ซึ่งเรื่องนั้นก็คือ ?
มันมีสกู๊ปอันนึงของพี่บ.ก.นิตยสารที่เราทำตอนนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุ ที่เกิดจากสิ่งก่อสร้างในกรุงเทพ ที่มีผลกระทบต่อคน เขาถามว่าเราสนใจไปถ่ายไหม ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้ว่ามันเป็นงานประเภทสารคดีที่มันไม่ใช่แฟชั่น แต่ว่าตอนช่วงที่เราถ่ายแฟชั่นเราก็ชอบถ่ายคนด้วยอยู่แล้ว ถ่ายพอทเทรทอะไรแบบนี้
เขาเล่าให้ฟังว่ามีเด็กคนนึงนั่งบนรถเมล์ แล้วก็หลับตรงแถวทางขึ้นทางด่วน แล้วเขาตื่นมาอีกทีก็ตื่นมาอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว โดนโกนหัวหมด เด็กผู้หญิงนะครับ เป็นนักเรียนประมาณม.3 แล้วก็โดนผ่าตั้งแต่ตรงนี้ (ชี้ที่กกหูขวาลากถึงซ้าย) เปิดกะโหลกหมดเลย เราก็ จริงหรอพี่ ก็เลยไป แต่เผอิญว่าจังหวะวันนั้นเราไปเร็วกว่านักเขียนประมาณครึ่งชั่วโมง เป็นจังหวะที่เขาอยู่หน้าบ้าน เป็นบ้านไม้ เสียดายรูปนั้นไม่อยู่ตรงนี้ แล้วเป็นรูปที่พ่อเขากำลังทำแผลลูกเขา เราก็เลยรีบเดินเข้าไปแนะนำตัวว่าเราเป็นช่างภาพจากที่นี่ที่ขออนุญาตแล้ว เราจะขออนุญาตถ่ายรูปได้ไหม เขาบอกว่าเอาเลย แล้วมันเป็นรูปที่เปลี่ยนหลายๆอย่างในตัวเราไปมากเลย เรารู้สึกว่าที่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง คือในเชิงภาพ มันแข็งแรงสำหรับเรามาก มันสวย แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเค้า มันแย่สุดๆ
ในโลกของการถ่ายภาพของเรามันเลยรู้สึกว่า เราสนใจกับเรื่องนี้มาก มันตื่นเต้น และมันตื่นตามาก มันต้องใช้ทุกอย่างให้เร็วที่สุด ทักษะในการจะควบคุม f stop ยังไง อยากให้ข้างหน้าชัด ข้างหลังเบลอ เราจะต้องเร็วแค่ไหน มันเกิดขึ้นรวดเร็วตรงนั้นเลย
แล้วหลังจากตอนนั้นพี่เล็กได้ถ่ายภาพสารคดีอีกบ้างไหมคะ ?
จากนั้นก็จะเป็นการถ่ายเอง ไม่ได้เป็นเรื่องอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ ถ่ายนู่นถ่ายนี่ ไปเที่ยวที่นู่นที่นี่บ้าง เซทโปรเจคขึ้นมาแล้วไปถ่าย อย่างไปศรีลังกา หรือไปอะไรแบบนี้ครับ

อย่างที่พี่เล็กบอกว่าชอบถ่ายรูปพอทเทรท สำหรับพี่เล็กแล้วอะไรคือเสน่ห์ของรูปพอทเทรท ?
เราว่าสายตาของคน แล้วก็หน้าของคนแต่ละคนมันมีความน่าสนใจที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นด้วยหน้าเขาเอง ทรงผมเขาเอง หรือดวงตาของเขา การสื่อความหมายอะไรต่างๆ มันมีความน่าสนใจเยอะมาก ซึ่งตอนนั้นสมัยนั้นที่เราชอบถ่ายภาพคน เราชอบภาพถ่ายของ Richard Avedon มากเลยครับ เพราะเค้าจะถ่ายภาพพอทเทรทคนเป็นภาพขาวดำ ใช้กล้องใหญ่ๆถ่าย


เห็นพี่เล็กชอบถ่ายภาพขาวดำ มีอะไรที่ชอบเกี่ยวกับความขาวดำเป็นพิเศษไหม ?
เราว่าหลังๆเราชอบถ่ายสีเหมือนกันนะ แต่ว่าภาพขาวดำสำหรับเราเอง เรารู้สึกว่า มันแสดงให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในนั้นโดยไม่มีสีมารบกวน มันเลยทำให้ subject มันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดมั้ง
ช่วยเล่าทริปที่ศรีลังกาให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ ว่าเป็นยังไงบ้าง ประทับใจอะไรเป็นพิเศษ ?
คือศรีลังกาทำให้เราเข้าใจอะไรบางอย่างด้วยตอนนั้น ก่อนที่ไปก็ตั้งใจมาก แล้วก็ซื้อฟิล์มไปจำนวนนึง แต่พอไปถึงวันสองวันแรกเราพยายามถ่ายมากๆ คือต้องใช้คำว่าพยายามถ่าย สิ่งที่มันเกิดขึ้น และผลลัพธ์ที่มันเกิดขึ้นคือเรามองไม่เห็นอะไรเลย ไม่ใช่ว่ามันมืดหรืออะไรนะครับ แต่ว่าเรามองไม่เห็นภาพตรงนั้นเลย เราไม่แน่ใจว่าด้วยความกดดันของตัวเราเอง หรือว่าอะไรที่ทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งนั้น พอจากนั้นประมาณวันสองวันเราก็รู้สึกว่า เออ ลองทิ้งกล้องไว้ที่โรงแรม ไม่ต้องคิดถึงเรื่องถ่ายรูปเลย แล้วออกไปชิวเลย ในค่ำคืนนึง ก็ไปนั่งดื่ม พอใจมันเริ่มสบาย มันก็เริ่มมองเห็น แล้วจากวันนั้นจนถึงวันกลับก็ถ่ายไปเยอะเลยครับ

หลังจากกลับมาการมองเห็นของพี่เล็กเปลี่ยนไปบ้างไหมคะ ?
ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปครับ มันก็ยังเป็นแบบที่เราอยากเห็นอยู่ เรารู้สึกว่ายิ่งพอมาถ่ายภาพนิ่งให้ภาพยนตร์ มันเป็นเรื่องของการที่ จะทำยังไงที่เราจะทำให้ภาพเดียวเล่าเรื่องให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เพราะอย่างภาพยนตร์มันมีการเคลื่อนกล้อง หรือมีการอะไรได้ ถ่ายรูปเราเคลื่อนกล้องได้ แต่ภาพมันไม่ได้เคลื่อนไหวตาม ทำยังไงให้เราสามารถเล่าภาพเดียวให้คนเข้าใจได้มากที่สุด เราว่าอันนั้นมันเป็นสิ่งสำคัญในการถ่ายรูป ที่เราพยายามอยู่เสมอๆ ว่าเราจะเล่ายังไงให้มันอยู่ในภาพเดียว

อยู่ที่สายตาเราด้วยว่าเราจะเลือกมองอะไร และถ่ายทอดมันยังไง ?
ใช่ครับ มันมีรูปที่ศรีลังกาอยู่รูปนึง ที่เราเห็นคนเดินมาไกลๆแล้ว ใส่สาหรีใส่อะไรมา แต่เราชอบคอมโพสิชั่นตรงนี้ ชอบแสงที่ตกลงมาตรงนี้ แต่เขาอยู่ไกลมาก ยังเดินมาไม่ถึง ก็เลยใจเย็น เตรียมกล้องให้พร้อม จนจังหวะที่เขามาตรงนั้นพอดี ถึงได้รูปรูปนั้น

ตอนไปออกกอง มีกองไหนที่ชอบเป็นพิเศษไหมคะ หรือว่าแต่ละกองก็คล้ายๆกัน ?
ก็คล้ายๆกันนะ อย่างของพี่อุ๋ย เราว่าเรื่องที่มันน่าสนใจสำหรับเราในกองถ่าย มันเป็นเรื่องของบรรยากาศ มิตรภาพที่มันเกิดขึ้นตรงนั้น กับสอง มันมีเรื่องของ สถานที่ แสง ชุด หน้าผม มันพร้อมตรงนั้นอยู่แล้ว ยิ่งเรื่องบางเรื่องอย่าง ปืนใหญ่โจรสลัด หรือว่าองค์บาก หรืออะไรแบบนี้ มันมีความพร้อมของทุกอย่างตรงนั้น แล้วมันทำให้มันเป็นเรื่องน่าถ่าย

ช่วยอธิบายรูปนี้ให้ฟังเพิ่มหน่อยได้ไหมคะ ? (เราถามถึงหนึ่งในรูปที่พี่เล็กชอบภายในเล่ม)
เป็นซีรี่ย์ของอังกฤษครับ เรื่อง The Swiss Family Robinson เป็นคนติดเกาะอะไรประมาณนี้ แล้วก็เรือแตกมีโจรสลัดมา รูปนั้นมันเป็นรูปที่เราขอผู้กำกับขึ้นไปบนเรือลำนั้น ซึ่งจริงๆแล้วเรือลำนั้นจะมีแค่ไม่กี่คน คุยกับเขาแล้วเขาก็ให้ ดีใจมากจังหวะที่ถ่ายไปแล้วสั่งคัท นางเอกขึ้นมาจากน้ำพอดี เราว่ามันเป็นเทคที่ดีมั้ง แล้วผู้กำกับแฮปปี้มาก
เราได้จังหวะที่นางเอกขึ้นมาจากน้ำแล้วมีความสุข เราได้บันทึกโมเมนต์ตรงนั้นเอาไว้ ก็ดีใจที่ได้อยู่บนเรือลำนั้น เราว่าบางทีการถ่ายภาพ มันเป็นเรื่องของการที่เราเอาตัวเราไปไว้ตรงนั้น ในเวลานั้นด้วย ซึ่งเราได้ยินมาหลายทีแล้ว เราก็ไม่ค่อยได้เชื่อมาก จนเราเจอกับตัวเราเอง

ทุกวันนี้พี่เล็กยังถ่ายรูปอยู่บ้างไหมคะ ?
ถ่ายบ้างครับ เริ่มกลับมาถ่ายเยอะขึ้นหน่อย แต่มันก็เป็นรูปอะไรที่เรายังไม่ค่อยชอบมันมากขนาดนั้น เราว่ามันเป็นเรื่องทั่วๆไปมากเกินไป
เกี่ยวกับการที่สมัยนี้มันมีดิจิตอลเข้ามา หรือว่า Instagram Facebook อะไรแบบนี้เข้ามารึเปล่า ในแง่ของการถ่ายรูปที่มันเป็นประจำวันมากขึ้น ?
ไม่ได้เกี่ยวอะไรครับ แต่เราว่ามันก็ดีออก มันก็ทำให้คนสนใจในการถ่ายภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยจากกล้องฟิล์ม ดิจิตอล หรือว่ามือถือก็ตาม ก็ดีนะครับ มันทำให้คนสนใจเรื่องนี้มากขึ้น

แล้วการถ่ายรูป หรือวิธีการมองของพี่เล็กมันส่งผลกับการแต่งเพลงยังไงบ้างไหม ?
ช่วงแรกๆเราไม่ได้คิด แต่พอหลังๆเริ่มมานั่งคิดดู คือเราก็ถ่ายเบื้องหลังของภาพยนตร์หลายเรื่องอยู่นะครับ มันได้ไปขลุกอยู่ตรงนั้น แล้วเราว่าวิธีการเล่าของภาพยนตร์มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแต่งเพลงของเรา เช่น เราอาจจะไม่ได้เปิดเรื่องจากตัวละคร แต่เราจะเปิดเรื่องจากบรรยากาศที่มันห้อมล้อมตรงนั้นและค่อยๆเข้าไป ซึ่งถามว่าเกี่ยวไหม เราว่ามันอาจจะเกี่ยวโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ
เหมือนอย่างเพลงที่ชัดเจนมากๆ อย่างเพลงฝืน ที่มันขึ้นมาด้วย เช้าที่ไม่มีฝนพรำมา มันจะเป็นเรื่องของบรรยากาศก่อน
ซึ่งเราว่ามันอาจจะคล้ายๆกับเวลาเราดูหนังผี ผียังไม่ได้ออกมาเลย แต่เรากลัวแล้ว กลัวด้วยอะไร เราว่ามันกลัวด้วยบรรยากาศที่ห้อมล้อมมัน ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือเสียงก็ตาม
ขอบคุณสถานที่ : Organic Supply
ภาพ : Asadawut Boonlitsak
One thought on “คุยกับ เล็ก อภิชัย ว่าด้วยเรื่องราวของภาพถ่าย”